กล้วยไม้ 7 พระนาม งดงาม เสน่ห์ล้ำ หลากสีสัน
1.กล้วยไม้แคทลียา ควีนสิริกิติ์ กล้วยไม้พระนาม สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เป็นกล้วยไม้ที่สวยงามมาก มีกลิ่นหอมหวานอ่อนๆ ออกดอกตลอดปี
แคทลียา “ควีนสิริกิติ์” (Cattleya Queen Sirikhit) บุปผาราชินีเมื่อบริษัท Black & Flory Ltd. แห่งประเทศอังกฤษ ได้คิดค้นกล้วยไม้ลูกผสมระหว่างต้นแม่พันธุ์ แคทลียา โบเบลล์ (Cattleya Bow Bells) และต้นพ่อพันธุ์แคทลียา ออเบรียนเนียนา (Cattleya Obrieniana var. aba) ในปี พ.ศ. 2501 และได้รับรางวัลยอดเยี่ยมจากราชสมาคมพืชสวนอังกฤษ ( The Royal Horticulture Society) จึงได้มีการกราบบังคมทูลสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ขอพระราชทานพระราชานุญาตเชิญพระนามาภิไธย “สิริกิติ์” เป็นชื่อของกล้วยไม้ลูกผสมพันธุ์นี้ว่า แคทลียา “ควีนสิริกิติ์” และได้ขึ้น
ทะเบียนลูกผสมใหม่จากราชสมาคมพืชสวนอังกฤษเมื่อวันที่
1
ก.พ. 2501เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม
2551 ซึ่ง ถือเป็นวันสตรีไทย ทางสภาสตรีแห่งชาติฯ
ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ
พระราชทานดอกกล้วยไม้พระนาม แทคลียา ควีนสิริกิติ์
เพื่อใช้เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ประจำวันสตรีไทยลักษณะทั่วไปเป็นต้นกล้วยไม้สูง 20-40
ซม. ลำลูกกล้วยรูปทรงกระบอก ใบรูปขอบขนาน ดอกออกเดี่ยวหรือเป็นช่อ 1-4
ดอก สีขาวนวล กลีบรองดอกรูปรีแกมสามเหลี่ยม กลีบดอก 5 กลีบ มีกลีบปากแผ่กว้าง ขอบกลีบย่นเป็นคลื่น
ตรงกลางกลีบมีแต้มสีเหลืองทองด้านใน เมื่อบานเต็มที่ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 12-14
ซม. มีกลิ่นหอมหวานอ่อนๆ ฝักรูปทรงสามเหลี่ยม ออกดอกตลอดปี
2.กล้วยไม้รองเท้านารี
"พริ้นเซสสังวาลย์" กล้วยไม้พระนาม สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
รองเท้านารีพันธุ์ลูกผสม ดอกลายสีบานเย็นเข้มทั้งดอก กล้วยไม้รองเท้านารี
พริ้นเซสสังวาลย์ (Paphiopedilum Princess Sangwan)รองเท้านารีลูกผสมระหว่างต้นแม่พันธุ์รองเท้านารีช่องอ่างทอง
(Paphiopedilum godefroyae var. angthong) และต้นพ่อพันธุ์คือ
รองเท้านารีดอยตุง ( Paphiopedilum charlesworthii)โดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง,
โครงการพัฒนาดอยตุง จ.เชียงราย เป็นผู้ผสมพันธุ์
ให้ดอกครั้งแรกเมื่อ 1 ธันวาคม 2545 ดอกมีสีขาวลายบานเย็นหรือบานเย็นเข้มทั้งดอก
ส่วนใหญ่จะมี 1 ดอกต่อช่อ ขนาดประมาณ 6 ซม. ก้านช่อดอกสูงประมาณ 10 ซม.
ออกดอกเฉลี่ยประมาณปีละ 2 ครั้ง
ขึ้นทะเบียนลูกผสมใหม่จากราชสมาคมพืชสวนอังกฤษ
เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2547กล้วยไม้รองเท้านารี
สังวาลย์ซีรีเบรชั่น ปีที่ 108 ( Paphiopedilum Sangwan
Celebration 108 th)เป็นกล้วยไม้พระนามของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
ฉลองวาระ พระราชสมภพครบ 9 รอบปีนักษัตร รองเท้านารีลูกผสมระหว่างต้นพ่อพันธุ์ รองเท้านารีโฮลดีนิอาย
( Paphiopedilum Holdenii )และต้นแม่พันธุ์ คือรองเท้านารีดอยตุง
ต้นสังวาลย์ 1 ( Paphiopedilum charlesworthii “Sangwan NO.1″ AM/RHT ) โดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง,
โครงการพัฒนาดอยตุง จ.เชียงราย เป็นผู้ผสมพันธุ์
ให้ดอกครั้งแรกเมื่อ 3 สิงหาคม 2551 ดอกมีสีบานเย็นแดง
กระเป๋าและกลีบข้างสัน้ำตาลแดง ส่วนใหญ่จะมี 1 ดอกต่อช่อ
ขนาดประมาณ 10 ซม.
ก้านช่อดอกสูงประมาณ 20-30 ซม. ออกดอกเฉลี่ยประมาณปีละ 2 ครั้งขึ้นทะเบียนลูกผสมใหม่จากราชสมาคมพืชสวนอังกฤษ เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2551กล้วยไม้รองเท้านารี สังวาลย์แอนนิเวอร์ซารี่ ปีที่ 108 ( Paphiopedilum Sangwan Anniversary 108 th)เป็นกล้วยไม้พระนามของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ฉลองวาระพระราชสมภพครบ 9 รอบปีนักษัตร รองเท้านารีลูกผสมระหว่างต้นพ่อพันธุ์ รองเท้านารีโรซิต้า ( Paphiopedilum Rosita )และต้นแม่พันธุ์ คือรองเท้านารีดอยตุง ต้นสังวาลย์ 1 ( Paphiopedilum charlesworthii “Sangwan NO.1″ AM/RHT )
โดยมูลนิะแม่ฟ้าหลวง, โครงการพัฒนาดอยตุง จังหวัดเชียงราย เป็นผู้ผสมพันธุ์ ให้ดอกครั้งแรกเมื่อ 15 สิงหาคม 25551 ดอกมีสีชมพูถึงบานเย็นแดงทั้งดอก ส่วนใหญ่จะมี 1 ดอกต่อช่อ ขนาดประมาณ 10 ซม. ก้านช่อดอกสูงประมาณ 20-30 ซม. ออกดอกเฉลี่ยประมาณปีละ 2 ครั้งขึ้นทะเบียนเป็นลูกผสมใหม่จากราชสมาคมพืชสวนอังกฤษ เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2551
3.กล้วยไม้หวายพันธุ์
"ชมพูนครินทร์" สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา
กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ประทานนามให้ ดอกมีสีโอรส (สีขาว อมชมพู อมส้ม)
ปากดอกสีชมพูแดง สวยงามและคงทน กล้วยไม้หวาย พันธุ์ “ชมพูนครินทร์” (Dendrobium “Pink Nagarindra” )กล้วยไม้ลูกผสมระหว่างต้นพ่อพันธุ์
“บลัชชิ่ง” (Dendrobium Blushing) และต้นเม่พันธุ์ “เอริก้า” (Dendrobium
“Arica”) โดยนายสวง คุ้มวิเชียร (แอร์ออร์คิด&
แล็บ) เป็น ผู้พัฒนาพันธุ์ ให้ดอกครั้งแรกเดือนกุมภาพันธุ์ 2546 และได้รับพระราชทานชื่อจากสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา
กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2550
ชื่อพันธุ์ “ชมพูนครินทร์”ดอกมีสีโอโรส (สีขาว อมชมพู อมส้ม)ปากดอกเป็นสีชมพูแดง ปลายกลียดอกทั้ง 5
เป็น สีเดียวกัน ลักษณะดอกกึ่งฟอร์มกลม มีความสวยและความทน
และด้วยก้านช่อที่ไม่ยาวมาก
จึงมีความเด่นที่จะเป็นกล้วยไม้ประดับชนิดจัดโชว์ทั้งต้น
และดอก มีอายุการใช้งานหลายสัปดาห์
ดอกกล้วยไม้พันธุ์นี้มีเกล็ดเงินระยิบระยับอ่อนๆแฝงอยู่ในกลีบดอกเมื่อถูก
สะท้อนแสงไฟ ในช่วงอากาศหนาว ดอกจะเปลี่ยนสีเป็นสีโอโรสเข้มจัดทั้งดอก
ต้นกล้วยไม้พันธุ์นี้มีขนาดกะทัดรัด ความสูงของต้นและดอกเฉลี่ยประมาณ 30-40
ซม. ออกดอกเฉลี่ยมากกว่า 3 ครั้งต่อปี
4. กล้วยไม้แอสโคเซนต้า
"สุคนธรัศมิ์" พระราชทานนามโดย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ
สยามมกุฎราชกุมาร กล้วยไม้แอสโคเซ็นดา สุคนธรัศมิ์ (Ascocenda
Sukontharat)แอสโคเซ็นดา ลูกผสมระหว่างต้นแม่พันธุ์คือ
แวนด้าสามปอยขุนตาล ( Vanda denisoniana) และต้นพ่อพันธุ์คือ
แอสโคเซ็นดา คุณนก (Ascocenda Khon Nok) โดยนายปริยุตต์
ยุวานนท์ (บริษัท สากล ออร์คิด) ผู้พัฒนาพันธุ์และเพาะเลี้ยงกล้วยไม้
ที่อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ดอกมีขนาดประมาณ 1.5 นิ้ว
กลีบดอกส่วนปลายมีสีเหลืองอมส้ม มีกลิ่นหอมนุ่มนวล
ซึ่งจะมีกลิ่นหอมมากในเวลาเช้าและหอมตลอดทั้งวัน
ออก ดอกตลอดทั้งปีสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารได้พระราชทานชื่อพันธุ์กล้วยไม้ ซึ่งบริษัท สากล ออร์คิด ได้ทูลเกล้าถวายเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2551 พระราชทานชื่อว่า “สุคนธรัศมิ์” แปลว่ามีกลิ่นหอมอบอวลจรุงใจตามพระนาม พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ พระราชทานชื่อเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2551 ขึ้นทะเบียนลูกผสมใหม่จากราชสมาคมพืชสวนอังกฤษ เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2551
5.กล้วยไม้พันธุ์ "เอื้องศรีเชียงดาว" เป็นกล้วยไม้ดิน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พระราชทานนามให้ สามารถพบได้เฉพาะที่ดอยเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ “สิรินโดรเนีย” (Sirindhornia) เป็นกล้วยไม้สกุลใหม่ของโลก กล้วยไม้สกุลนี้ตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 2002 โดย นักพฤกษศาสตร์ชาวเดนมาร์ก ดร.เฮนริค เพเดอร์เซน จากมหาวิทยาลัยโคเปนฮาเกน ประเทศเดนมาร์ก ร่วมกับนักพฤกษศาสตร์ไทย ดร.ปิยเกษตร สุขสถาน จากสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ จัด เป็นกล้วยไม้ดินกล้วยไม้ที่ค้นพบนี้ได้รับพระราชทานชื่อจาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ร่วมกับองค์การสวนพฤกษศาสตร์กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ค้นพบกล้วยไม้สกุลใหม่ของโลก 3 สายพันธุ์เป็นครั้งแรกในประเทศไทย และผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญกล้วยไม้ของโลกโดยเทียบตัวอย่างกับกล้วยไม้ทั่วโลกกว่า 250,000 สายพันธุ์จากหอพรรณไม้โลก เป็นเวลากว่า 3 ปี จึงพบว่าเป็นสกุลใหม่และสายพันธุ์ใหม่อย่างแท้จริง มีความแตกต่างกับกล้วยไม้ชนิดอื่นๆ มากและทั้งหมดเป็นกล้วยไม้ที่หายากในวโรกาสศุภมงคลเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ครบรอบ 48 พรรษา จึงได้มีพระราชานุญาตให้ใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Sirindhornia ดังนี้
เอื้องศรีเชียงดาว ( Sirindhornia
pulchella H.A. Pedersen & S. Indhamusika )กล้วยไม้ดิน สูง 10-25
ซม. ใบ แผ่รูปไข่กว้าง มีเส้นใบขนาน ตามยาวประมาณ 8-10 เส้น และมีจุดประสีแดงอมม่วงทั่วไป ช่อดอกสูง 10-30 ซม.
มีประมาณ 4-12 ดอก ดอก สีชมพูมีประ สีชมพูเข้ม
กลีบข้างเป็นสีชมพูแกมขาว แผ่คล้ายหูค่อนข้างกลม สีเขียวแกมชมพู
กลีบปากมีจุดประสีแดงหรือสีออกแดงแกมชมพู ส่วนปลายแผ่เป็น 3 พูตื้นๆ
ขนาดประมาณ 10-11 มม. เส้าเกสร เป็นก้อนใหญ่
งวงน้ำหวานเป็นหลอดยาวโค้ง ขนาดยาวประมาณ 11-14 มม.
เป็นพืชชนิดใหม่ พบเฉพาะที่ดอยเชียงดาว ในประเทศไทย ที่ระดับความสูง 1,800-2,000
เมตร ดอกบานช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน
เอื้องศรีประจิม ( Sirindhornia mirabilis H.A. Pedersen & P. Suksathan )กล้วยไม้ดิน สูง 10-34 ซม. ใบ แผ่รูปไข่กว้าง มีเส้นใบ ขนานตามยาวประมาณ 8-12 เส้น และมีจุดประสีแดงอมม่วงทั้งใบ ช่อดอกสูงได้ถึง 40 ซม มีประมาณ 16-36 ดอก ดอก สีชมพู กลีบข้างแผ่สีอมเขียว ขนาด 1.5 ซม. กลีบปากมีสีชมพูแกมชมพูอ่อน ส่วนโคนแผ่ขยายออกเป็นปีก 2 ข้าง ส่วนกลางคอดกิ่ว ส่วนปลายแผ่ หยักเว้าเป็น 2 พู งวงน้ำหวานส่วนโคนเป็นหลอดตรงส่วนปลายงอโค้ง ขนาด 8-9 มม. เป็นพืชชนิดใหม่ พบเฉพาะที่ดอยหัวหมุด จังหวัดตาก ในประเทศไทย ที่ระดับความสูงประมาณ 1,000 เมตร ดอกบาน ช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน
6.กล้วยไม้ฟาแลนนอพซีส "พริ้นเซสจุฬาภรณ์" กล้วยไม้พระนาม สมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เป็นกล้วยไม้พันธุ์ใหม่ ที่รัฐบาลศรีลังกา ทูลเกล้าฯ ถวายนาม กล้วยไม้ฟาแลนนอฟซิส พริ้นเซสจุฬาภรณ์ (Phalaenopsis Princess Chulabhorn) กล้วยไม้ฟาแลนนอพซิส พันธุ์พระนามนี้ เป็นผลงานการผสมพันธุ์ของสวนพฤกษศาสตร์เปราเดนนิยา (Royal Botanical Garden Peradeniya )ประเทศศรีลังกา เป็นลูกผสมของPhalaenopsis Rose Miva กับ Phalaenopsis Kandy Queen ซึ่งทั้งสองชนิดล้วนเป็นสายพันธุ์ที่มีความงามอย่างโดดเด่น รัฐบาลศรีลังกาได้น้อมเกล้าฯ ถวายกล้วยไม้พันธุ์พระนามนี้ที่สวนพฤกษศาสตร์เปราเดนนิยา เมืองแคนดี ในเดือนสิงหาคม 2542 กล้วยไม้ฟาแลนนอฟซิส พริ้นเซสจุฬาภรณ์ เป็นกล้วยไม้อิงอาศัย ลำต้นสูง 8-20 ซม. ใบสีเขียวเข้ม รูปรีแกมขอบขนาน กว้าง 5-8 ซม. ยาว 10-16 ซม. ดอกสีขาวนาล ออกเป็นช่อตามซอกใบ ก้านช่อยาว 30-45 ซม. ลักษณะกว้างกลมมน มีขนาดใหญ่เส้นผ่านศูนย์กลาง 7.5-9 ซม. ตอนกลางดอกเป็นสีชมพูอ่อน กลีบปากส่วนโคนสองข้างแผ่ออกเป็นปีก ตอนปลายยาวเรียวเป็นเส้น ขอบมีสีเหลืองตอนกลางเป็นจุดประสีเลือดหมูแต้มทั่วไป
7.กล้วยไม้หวายพันธุ์ "โสมสวลี" พระนามพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ดอกมีสีม่วงครามอ่อน ออกดอกเป็นพวง และด้วยก้านช่อที่ไม่ยาวมาก จึงโดดเด่นเหมาะสำหรับเป็นกล้วยไม้ประดับ ชนิดจัดโชว์ทั้งต้นและดอก กล้วยไม้หวาย พันธุ์ “โสมสวลี” ( Dendrobium “Soamsawali” )กล้ยวไม้ลูกผสม ระหว่างต้นพ่อพันธุ์ “คอมแพ็คตั้ม โบตาบลู” (Dendrobium compactum BotaBlue) และต้นแม่พันธุ์ “ขาวธนิดาไวท์” (Dendrobium “Thanida White”) โดยนายสวง คุ้มวิเชียร (แอร์ออร์คิดส์ &แล็บ) เป็นผู้ผสมพันธุ์ ให้ดอกครั้งแรกเดือนมกราคม 2546 และได้รับ

ประทานนามจากพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี
พระวรราชาทินัดดามาตุ เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2550ดอก มีสีม่วงครามอ่อน ดอกออกเป็นพวง
ด้วยก้านช่อที่ไม่ยาวมากจึงมีความเด่นที่จะเป็นกล้วยไม้ประดับชนิดจัดโชว์
ทั้งต้นและดอก มีอายุการใช้งานหลายสัปดาห์
ดอกกล้วยไม้พันธุ์นี้มีลายเส้นสีขาวอ่อนๆ แฝงอยู่ในกลีบดอกและมีคอดอกสีขาว
เมื่อดอกเริ่มบานจะมีสีเข้ม หลังจากดอกบานเต็มที่ทั้งช่อ สีม่วงของดอกจะสว่างขึ้น
ต้นกลัวยไม้พันธุ์นี้มีขนาดกะทัดรัด ความสูงของต้นและดอกเฉลี่ยประมาณ 40-50
ซม. ออกดอกเฉลี่ยมากกว่า 2 ครั้งต่อปี
กล้วยไม้สกุลหวาย (Dendrobium) เป็นกล้วยไม้สกุลใหญ่ที่สุด มีการแพร่กระจายพันธุ์ออกไปในบริเวณกว้างทั้งในทวีปเอเชียและหมู่เกาะใน มหาสมุทรแปซิฟิก นักพฤกษศาสตร์ได้จำแนกออกเป็นหมู่ประมาณ 20 หมู่ และรวบรวมกล้วยไม้ชนิดนี้ที่ค้นพบแล้วได้ประมาณ 1,000 ชนิดพันธุ์
กล้วยไม้สกุลหวาย มีลักษณะการเจริญเติบโตแบบซิมโพเดียล คือ มีลำลูกกล้วย เมื่อลำต้นเจริญเติบโตเต็มที่แล้วจะแตกหน่อเป็นลำต้นใหม่และเป็นกอ ใบแข็งหนาสีเขียว ดอกมีลักษณะทั่วไปของกลีบชั้นนอกคู่บนและคู่ล่างขนาดยาวพอๆ กันโดยกลีบชั้นนอกบนจะอยู่อย่างอิสระเดี่ยวๆ ส่วนกลีบชั้นนอกคู่ล่างจะมีส่วนโคน ซึ่งมีลักษณะยื่นออกไปทางด้านหลังของส่วนล่างของดอกประสานเชื่อมติดกับฐาน หรือสันหลังของเส้าเกสร และส่วนโคนของกลีบชั้นนอกคู่ล่างและส่วนฐานของเส้าเกสรซึ่งประกอบกันจะปูด ออกมา มีลักษณะคล้ายเดือยที่เรียกว่า “เดือยดอก” สำหรับกลีบชั้นในทั้งสองกลีบมีลักษณะต่างๆ กันแล้วแต่ชนิดพันธุ์ของกล้วยไม้นั้นๆ
กล้วยไม้หวายป่าของไทยมีสีสวยงาม ก้านช่อสั้น สำหรับกล้วยไม้สกุลหวายที่เป็นกล้วยไม้อยู่ในป่าของไทย มีหลายชนิดอันได้แก่พวก “เอื้อง” ต่างๆ เช่น
ชื่อไทย : พวงหยก, หวายปม เอื้องข้อ (เชียงใหม่)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dendorbian findlayanum C.P.S.Parish & Rchb.f.
ลักษณะทั่วไป : เป็นกล้วยไม้ที่มีลำลูกกล้วยสีเขียวเหลือง ยาวประมาณ 30–70 เซนติเมตร และโป่งเป็นข้อๆ ลักษณะใบยาวรี เมื่อลำแก่จะทิ้งใบ ออกดอกตามข้อๆ ละประมาณ 2-4 ดอก กลีบดอกสีม่วงอ่อนโคนกลีบสีขาว ปากสีเหลืองเข้ม ขอบปลายปากเป็นรูปหัวใจ ขนาดดอกโตประมาณ 4–6 เซนติเมตรช่วงออกดอกมักผลัดใบเกือบทั้งหมด
ช่วงออกดอก : ประมาณเดือนมกราคม - มีนาคม
แหล่งที่พบและการกระจายพันธุ์ : พบภาคเหนือที่เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และลำปาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันตกของไทย ลาว และพม่า
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dendorbian findlayanum C.P.S.Parish & Rchb.f.
ลักษณะทั่วไป : เป็นกล้วยไม้ที่มีลำลูกกล้วยสีเขียวเหลือง ยาวประมาณ 30–70 เซนติเมตร และโป่งเป็นข้อๆ ลักษณะใบยาวรี เมื่อลำแก่จะทิ้งใบ ออกดอกตามข้อๆ ละประมาณ 2-4 ดอก กลีบดอกสีม่วงอ่อนโคนกลีบสีขาว ปากสีเหลืองเข้ม ขอบปลายปากเป็นรูปหัวใจ ขนาดดอกโตประมาณ 4–6 เซนติเมตรช่วงออกดอกมักผลัดใบเกือบทั้งหมด
ช่วงออกดอก : ประมาณเดือนมกราคม - มีนาคม
แหล่งที่พบและการกระจายพันธุ์ : พบภาคเหนือที่เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และลำปาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันตกของไทย ลาว และพม่า
ชื่อไทย : เหลืองจันทบูร
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dendorbian friedericksianum
ลักษณะทั่วไป : เป็นกล้วยไม้ที่มีถิ่นกำเนิดแถบจังหวัดจันทบุรี เป็นกล้วยไม้ที่มีลำลูกกล้วยลักษณะเป็นโคนเล็กแล้วค่อยโป่งไปทางตอนปลายขนาด ลำยาวมาก บางต้นยาวถึง 75 เซนติเมตร เมื่อลำแก่จะเป็นสีเหลืองโดยด้านข้างของลำจะมีใบอยู่ทั้งสองข้าง ช่อดอกออกตามข้อของลำ ออกดอกเป็นช่อๆ ละ 2–4 ดอก กลีบดอกเป็นมัน รอบแรกดอกจะเป็นสีเหลืองอ่อนแล้วจะค่อยๆ เข้มขึ้นจนเป็นสีจำปา ปากสีเข้มกว่ากลีบ ในคอมีสีแต้มเป็นสีเลือดหมู 2 แต้ม ขนาดดอกโตประมาณ 5 เซนติเมตร
ช่วงออกดอก : ประมาณเดือนมกราคม - เมษายน
แหล่งที่พบและการกระจายพันธุ์ : เป็นกล้วยไม้เฉพาะถิ่นพบเฉพาระในประเทศไทย
ชื่อไทย : เอื้องครั่ง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dendrobian parishii
ลักษณะทั่วไป : ลำลูกกล้วยรูปรี ค่อนข้างอวบ ใบรูปขอบขนานแกมรูปไข่ ออกดอกที่ข้อ 1-3 ดอก ดอกกว้าง 3-5 เซนติเมตร กลีบดอกสีม่วง โคนกลีบดอกกระดกห่อขึ้น ปลายกลีบแหลมมีขนสั้นๆ ปกคลุม กลางกลีบสีม่วง ดอกมีกลิ่นหอม
ช่วงออกดอก : ประมาณเดือนกุมพาพันธ์ – มีนาคม
แหล่งที่พบและการกระจายพันธุ์ :พบทางภาคเหนือ ภาคกลางตอนบน และภาคตะวันตกและอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ชื่อไทย : เอื้องคำ,พอนี้โคง(แม่ฮ่องสอน),เอื้องคำตา(เชียงใหม่)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dendrobian chrysotoxum Lindl.
ลักษณะทั่วไป : เป็นกล้วยไม้ที่มีลำลูกกล้วยรูปทรงหลายเหลี่ยมโดยจะมีตอนกลางลำโป่ง แล้วเรียวลงมาโคนและยอด ความยาวประมาณ 20–50 เซนติเมตร เมื่อลำแก่จะมีสีค่อนข้างเหลืองตอนบนของลำจะมีใบอยู่ 4–5 ใบ ยาวประมาณ 20–30 เซนติเมตร ออกดอกเป็นช่อ 12-25 ดอก แต่ละช่อดอกจะห่างไม่อัดแน่น ดอกมีสีส้มสด กลีบปากสีส้มมีขนาดใหญ่ โคนกระดกห่อขึ้น ปลายบานเป็นทรงกลม มีขนนุ่มปกคลุม ขอบกลีบหยักเป็นคลื่น ขนาดดอกประมาณ 3-5 เซนติเมตร มีกลิ่นหอม
ช่วงออกดอก : ประมาณเดือนมีนาคม - พฤษภาคม
แหล่งที่พบและการกระจายพันธุ์ :พบทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน และภาคตะวันตก พม่า ลาว เวียดนาม และอินเดีย
ชื่อไทย : เอื้องช้างน้าว, เอื้องคำตาควาย, เอื้องตาความ,สบเป็ด,มอกคำตาความ
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dendorbian pulchellum. Roxb.ex.Lindl
ลักษณะทั่วไป : เป็น กล้วยไม้ที่มีลำลูกกล้วยลักษณะกลม ต้นอ่อนเป็นเส้นสีม่วงลักษณะใบรูปไข่ยาวประมาณ 10–15 เซนติเมตร เมื่อลำแก่แล้วจะทิ้งใบ แตกช่อห้อยที่ปลายลำ ช่อหนึ่งมี 5–10 ดอก กลีบดอกเป็นสีเหลืองอ่อนมีเส้นเหลืองชมพู ปากรูปไข่กลมแบะแอ่นลงมีแต้มสีเลือดหมู 2 แต้ม กลีบนอกเป็นรูปใบ ภายในกลีบเป็นรูปไข่ ขนาดดอกโตประมาณ 5–7 เซนติเมตร พบทางภาคเหนือ
ช่วงออกดอก : ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม
แหล่งที่พบในประเทศไทย : ป่าดิบแล้งและป่าเบญจพรรณ (ยกเว้นภาคกลาง) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ภาคตะวันตก และภาคใต้
เขตการกระจายพันธุ์ : ลาว เนปาล อินเดีย เวียดนาม มาเลเซีย
ชื่อไทย : เอื้องผึ้ง โพดอนแหล่ (แม่ฮ่องสอน)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dendrobiun lindleyi SteuD.
ลักษณะทั่วไป : ลำต้น เป็นลำรูปลีมักจะแบบเล็กน้อย ขนาด 5-12*1.5-2.5 ซม.มีสันและร่องตามความยาวผิวแห้งสีเขียวอมน้ำตาลเข็ม ขึ้นเป็นกระจุกแน่นแต่ละต้นมี 1ใบที่ยอด ใบรูปรีขนาด 6-12*2-2.5 ซม.ก้านดอกผอม ยาว3-4 ซม.ดอกขนาด 2-2.5 ซม. ดอกบานใหม่สีเหลืองอมเขียว วันต่อๆมาสีเข็มขึ้นจนเป็นสีเหลืองอมส้ม กลีบดอกรูปทรงเกือบกลม ปลายกลีบมน กลีบปากเกือบมลใหญ่กว่ากลีบดอกอื่นๆและกลางกลีบปากสีเหลืองเข็ม ดอกบานทน 1 สัปดาห์มีกลิ่นหอมอ่อนๆ
ช่วงออกดอก : ประมาณเดือนมีนาคม - พฤษภาคม
แหล่งที่พบเทศไทย : พบมากทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก และภาคใต้
เขตการกระจายพันธุ์ : ไทย พม่า ลาว เวียดนาม กัมพูชา จีน อินเดีย ภูฏาน
ชื่อไทย : เอื้องมะลิ, แส้พระอินทร์
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dendorbian crumenatum
ลักษณะทั่วไป : ออก ดอกเป็นช่อ 1-2 ดอก ตามข้อต้นในส่วนที่ไม่มีใบของปลายลูกกล้วย กลีบดอกสีขาว กางผายออก โคนกลีบปากเชื่อมติดกัน หูกลีบปากกระดกขึ้นทั้งสองข้าง ปลายผายออก มีสีเหลืองที่กลางกลีบปาก ดอกขนาด 2-3 เซนติเมตร ดอกบานเพียงวันเดียว มีกลิ่นหอมฉุน
ช่วงออกดอก : ช่วงออกดอกไม่แน่นอน ส่วนใหญ่จะออกดอกช่วงที่มีอากาศร้อนแล้วมีฝนตก หรือในช่วงฤดูฝน
แหล่งที่พบและการกระจายพันธุ์ : พบตามป่าดิบทางภาคใต้ ภาคกลาง และภาคตะวันตก
ชื่อไทย : เอื้องมัจฉาณุ
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dendorbian Farmeri Paxton
ลักษณะทั่วไป : เป็น กล้วยไม้ที่ลำลูกกล้วยลักษณะเป็นพู ตอนบนใหญ่ตอนล่างเล็กรูปสี่เหลี่ยมยาวประมาณ 20–30 เซนติเมตร ลำลูกกล้วยแต่ละลำมีใบ 3–4 ใบ ลักษณะใบเป็นรูปไข่ยาวประมาณ 10–15 เซนติเมตร ดอกเป็นช่อห้อยยาวประมาณ 15–25 เซนติเมตร ช่อหนึ่งมีหลายดอก ก้านช่อดอกยาว ดอกหลวม ทั้งกลีบดอกนอกและในมีสีม่วง ชมพู หรือขาว ปากสีเหลืองมีขนเป็นกำมะหยี่ ขนาดดอกโตประมาณ 2-4 เซนติเมตร
ช่วงออกดอก : ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม
แหล่งที่พบและการกระจายพันธุ์ : พบมากทางภาคเหนือ ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก และภาคใต้
ชื่อไทย : เอื้องม่อนไข่, เอื้องม่อนไข่ใบมน (ภาคเหนือ) กับแกะ (เลย) พอพางดี (แม่ฮ่องสอน)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dendorbian thyrsiflorum Rchb.f.
ลักษณะทั่วไป : ลำต้นลำกลมหรือเกือบกลมเป็นสันและร่องตื้นๆตามยาวสีเขียวเข็มหรือเขียวอมน้ำตาลยาว 25-50 ซม. เส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5-1.8 ซม. ผิวมันเล็กน้อยเป็นกอ ใบรูปรี กว้างขนาด 8-12*4-5 ซม. ปลายแหลมมน แผ่นใบค่อนข้างหน้าและเหนียวคล้ายหนัง สีเขียวเข้ม ผิวมันทิ้งใบ้เมื่อผลิดอก ช่อดอกเกิดใกล้ยอดเป็นพวงห้อยลงขนาด 18-30*7-12 ซม. ดอกในค่อนข้างแน่น ก้านดอกยาว 4-5 ซม.ขนาดดอก 2.5-3 ซม. กลีบเลี้ยงและกลีบดอกสีขาว กลีบปากกลมสีเหลืองและขอบกลีบ มีขนนุ่มหยักละเอียด ดอกมีกลิ่นหอม ดอกบานเกือบพร้อมกันทั้งช่อและทนได้ประมาณ 1สัปดาห์
ช่วงออกดอก : ประมาณเดือนมกราคม - เมษายน
แหล่งที่พบในประเทศไทย : พบมากตามป่าดิบที่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,000 เมตรขึ้นไป ทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
เขตการกระจายพันธุ์ : ไทย พม่า ลาว เวียดนาม จีน และอินเดีย
ชื่อไทย : เอื้องสายประสาท, เอื้องสายน้ำผึ้ง, เอื้องสายน้ำเขียว (เชียงใหม่), เอื้องสายเหลือง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dendorbian Primulinum Lindl.
ลักษณะทั่วไป : เป็น กล้วยไม้ที่ลำลูกกล้วยกลมเกือบเท่ากันทั้งลำ รูปทรงตรงหรือโค้งเล็กน้อย ยาวประมาณ 30–45 เซนติเมตร ใบเล็กลงไปทางยอด ใบตัดเฉียงๆ ตามยาวประมาณ 10 เซนติเมตร เมื่อใบแก่จะทิ้งใบ ออกดอกตามข้อที่ทิ้งใบแล้ว ดอกเป็นช่อๆ ละ 1–2 ดอก ตามข้อของลำลูกกล้วย ลักษณะกลีบดอกนอกและในยาวรีเท่ากัน สีม่วงอ่อน ปากรูปกรวยเป็นวงกลมสีเหลืองมะนาว ขนาดดอกโตประมาณ 5–7 เซนติเมตร
ช่วงออกดอก : ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม
แหล่งที่พบและการกระจายพันธุ์ : พบทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ภาคตะวันตก และภาคใต้
ชื่อไทย : เอื้องสายหลวง, เอื้องสาย
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dendrobain anosmum Linal
ลักษณะทั่วไป : ลำลูกกล้วยห้อยลงเป็นสายยาว ใบรูปรีขอบขนาน ปลายใบแหลม ดอกเดี่ยวออกตามข้อ ดอกกว้าง 4-5 เซนติเมตร สีม่วงอ่อน กลีบปากรูปทรงกลมปลายแหลม โคนกลีบปากม้วนเข้าหากันและมีแต้มสีม่วงเข้มทั้งสองด้าน ผิวกลีบด้านในมีขนปกคลุม ผิวด้านนอกมีขนเฉพาะขอบกลีบ ดอกมีกลิ่นหอม ช่วงออกดอกมักผลัดใบ
ช่วงออกดอก : ประมาณเดือนเมษายน- พฤษภาคม
แหล่งที่พบและการกระจายพันธุ์ : พบทางภาคใต้ของไทย ศรีรังกา อินโดจีน และภูมิภาคเอเชีย
ชื่อไทย : เอื้องเก๊ากิ่วแม่สะเรียง, เอื้องไม้ตึง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dendrobian tortile Lindl.
ลักษณะทั่วไป : ลำต้นเจริญทางด้านข้าง โคนลำลูกกล้วยคอด ใบรูปขอบขนาน ออกดอกเป็นช่อตามข้อ 3-6 ดอกต่อข้อ ดอกกว้าง 5-7 เซนติเมตร กลีบดอกสีม่วง มักบิดเป็นคลื่น มีเส้นสีม่วงตามความยาวกลีบ โคนกลีบปากม้วนขึ้นเป็นกลีบยาว โคนสีม่วง ปลายผายออก สีเหลืองอ่อน
ช่วงออกดอก : ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ - เมษายน
แหล่งที่พบในประเทศไทย : ป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันตก และภาคใต้
เขตการกระจายพันธุ์ :พม่า อินโดนีเซีย อินเดีย มาเลเซีย
ชื่อไทย : เอื้องเงิน, เอื้องตึง, เอื้องงุม
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dendorbian Draconis.Rchb.f.
ลักษณะทั่วไป : ลำต้นลำลูกกล้วยตรง ค่อนข้างแข็.ขนาด 22-30*1-1.5 ซม. เป็นสันและร่องตามยาว ผิวต้นอ่อนมีขนสั้นละเอียดสีดำ ต้นขั้ยเป็นกอแนใบรูปไข่แกมรูปรีเรียนเวียนสลับตลอดต้น ขนาด 5-8*2-3 ซม.ปลายหยักมนไม่เท่ากันแผ่นใบหนาและเหนียว ช่วงออกดอกมีทั้งที่ไม่ทิ้งใบละทิ้งใบ ดอกเกิดจากข้อใกล้ยอด เป็นดอกเดี่ยวหรือชื่อสั้นๆมี 1-3 ดอกขนาด 3.5-4.5 ซม.กลีบดอกสีขาวเป็นมันคล้ายขี้ผึ้งปลายกลีบแหลมขอบกลีบบิดเป็นคลื่อน กลีบคงรูป มีหูปากรูมนโคนกลีบปากสีแดงงอมแสดกลางกลีบมีสีสัน 3-5 สันกลิ่ยหอมอ่อนๆดอกบานทนนาน 1เดือนหรือว่านั้น
ช่วงออกดอก : ประมาณเดือนมีนาคม -เมษายน
แหล่งที่พบในประเทศไทย :ในเขตป่าผลิใบภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก
ชื่อไทย : เอื้องเงินหลวง, เอื้องขี้ผึ่ง (ภาคใต้), เอื้องตาเหิน (เชียงใหม่)
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dendorbian formosum
ลักษณะทั่วไป : เป็นกล้วยไม้ที่มีลำลูกกล้วยตั้งตรง กลมค่อนข้างอ้วน ความยาวประมาณ 30–50 เซนติเมตร ที่กาบใบมีขนสีดำลักษณะใบรูปไข่ยาวรี ยาวประมาณ 10–15 เซนติเมตร ปลายใบมี 2 แฉกไม่เท่ากัน ออกดอกที่ยอด ช่อดอกสั้น ช่อหนึ่งๆ มี 3–5 ดอก กลีบดอกมีสีขาว ปากสีเหลืองส้มโคนปากสอบปลาย ปากเว้า มีสันนูนสองสันจากโคนออกมาถึงกลางปาก ขนาดดอกโตประมาณ 10 เซนติเมตร มีกลิ่นหอมอ่อน
ช่วงออกดอก : ประมาณเดือนตุลาคม - ธันวาคม
แหล่งที่พบและการกระจายพันธุ์ :พบทางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ภาคตะวันตก และภาคใต้
ชื่อไทย : เอื้องเงินแดง, เอื้องกาจก, เอื้องตึง, เอื้องแชะเหลือง, เอื้องแชะดง
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dendorbian cariniferum.Rchb.f.
ลักษณะทั่วไป : ลักษณะลำต้นเจริญทางด้านข้าง ลำลูกกล้วยทรงกระบอก ผิงมักเป็นร่อง ใบรูปขอบขนาน ปลายเบี้ยว ออกดอกเป็นช่อ 2-5 ดอก ดอกกว้าง 3-4 ซม. กลีบดอกสีขาวครีม ปลายสีเหลือง โคนของกลีบปากสีส้มเข้มถึงส้มแดง กระดกห่อขึ้น ปลายแผ่เป็นแผ่นค่อนข้างยาว ขอบหยักเป็นคลื่น สีเหลืองอมส้มถึงขาว กลางกลีบเป็นสันนูน มีเส้นสีส้มเป็นริ้วตามความยาวกลีบเป็นระยะ ดอกมีกลิ่นหอม
ช่วงออกดอก : ประมาณเดือนมีนาคม - พฤษภาคม
แหล่งที่พบในประเทศไทย : ป่าดิบแล้ง ป่าเบญจพรรณในภาคเหนือ
เขตการกระจายพันธุ์ : พม่า จีน อินเดีย ลาว เวียดนาม
ชื่อไทย : เอื้องแปรงสีฟัน, เอื้องหงอนไก่
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dendrobiam secundum
ลักษณะทั่วไป : ใบรูปขอบขนานแกมรูปแถบ ออกดอกที่ปลายกิ่งเป็นช่อยาว ดอกจำนวนมาก กลีบงุ้มเข้าหากัน สีม่วงอมชมพู กลีบปากเป็นทรงกระบอก ปลายกลีบปากสีเหลือง ดอกกว้างประมาณ 1 เซนติเมตร ยาวประมาณ 1-2 เซนติเมตร ช่วงออกดอกมักผลัดใบ
ช่วงออกดอก : ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ - เมษายน
แหล่งที่พบในประเทศไทย : ป่าทุกประเภททางภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้
การกระจายพันธุ์ : จีน พม่า อินโดจีน ภูมิภาคเอเชีย
ชื่อไทย : แววมยุรา, เอื้องคำตาดำ, เอื้องคำน้อย
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Dendrobian fimbriatum hook.
ลักษณะทั่วไป : เป็นกล้วยไม้ที่มีลำลูกกล้วยยาวกว่า 60 เซนติเมตร มีผิวเป็นร่องตื้นๆ ใบรูปหอกยาวประมาณ 15 เซนติเมตร ช่อดอกห้อยยาวประมาณ 15 เซนติเมตร ช่อหนึ่งมี 7–15 ดอก กลีบนอกยาวรี กลีบในเป็นรูปไข่สีเหลือง กลีบปากเกือบกลมมีสีเข้มกว่ากลีบดอก ผิวมีขนนุ่มละเอียดปกคลุม ขอบกลีบหยัก กลางกลีบมีแต้มสีม่วงเข้มเกือบดำ ดอกกว้าง 3-4 เซนติเมตร
ช่วงออกดอก : ประมาณเดือนมีนาคม - พฤษภาคม
แหล่งที่พบในประเทศไทย : ป่าดิบแล้งและป่าผลิใบทางภาคเหนือและภาคตะวันตก
เขตการกระจายพันธุ์ : อินเดียและประเทศใกล้เคียงในแทบเทือกเขาหิมาลัย จีน พม่า อินโดจีน มาเลเซีย
กล้วยไม้รองเท้านารี (Lady’s Slipper) เป็นกล้วยไม้สกุล Paphiopedilum มีชื่อเรียกอื่นๆ อีกหลายชื่อ เช่น รองเท้านาง รองเท้าแตะนารี หรือ บุหงากะสุต ในภาษามาเลเซีย อันหมายถึงรองเท้าของสตรี เนื่องจากกลีบดอก หรือที่เรียกว่า “กระเป๋า” มีรูปร่างคล้ายกับรองเท้าของสตรีและรองเท้าไม้ของชาวเนเธอแลนด์ กระเป๋าของรองเท้านารีมีรูปร่างลักษณะและสีสันแตกต่างกันไปตามชนิดพันธุ์
กล้วยไม้รองเท้านารี มีแหล่งกำเนิดอยู่ในเขตอบอุ่น และเขตร้อนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตั้งแต่อินเดีย ฟิลิปปินส์ พม่า มาเลเซีย และในประเทศไทยซึ่งพบกล้วยไม้รองเท้านารีขึ้นอยู่ในป่าทั่วๆ ไป บางชนิดเกาะอาศัยอยู่ตามต้นไม้ แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นพวกที่ขึ้นอยู่ตามพื้นดินหรือซอกหินที่มีต้นไม้ใบหญ้า เน่าตายทับถมกัน เจริญงอกงามในที่โปร่ง ไม่ชอบที่รกทึบ แสงแดดส่องถึง
รองเท้านารี เป็นกล้วยไม้ประเภทแตกกอเช่นเดียวกับ หวาย คัทลียา และซิมบิเดียม ต้นที่แท้จริงเรียกว่า ไรโซม (เหง้า) ต้นหนึ่งหรือกอหนึ่งจะประกอบด้วยต้นย่อยหลายต้น รากออกเป็นกระจุกที่โคนต้นและมักจะทอดไปทางด้านราบมากกว่าหยั่งลึกลงไป หน่อใหม่จะแตกจากตาที่โคนต้นเก่า มีลำต้นสั้นมาก แต่ไม่มีลำลูกกล้วย ใบมีขนาดรูปร่างต่างกันไป บางชนิดมีใบยาว บางชนิดใบตั้งชูขึ้น บางชนิดใบทอดขนานกับพื้น บางชนิดใบมีลาย บางชนิดใบไม่มีลายแต่เป็นสีเดียวเรียบๆ การออกดอกจะออกที่ยอด มีทั้งชนิดออกดอกเป็นดอกเดี่ยว และออกดอกเป็นช่อ กลีบดอกชั้นนอกกลีบบนมีขนาดใหญ่สะดุดตา ส่วนกลีบ ชั้นนอกคู่ล่างจะเชื่อมติดกันและมีขนาดเล็กลงจนส่วนปากบังมิดหรือเกือบมิด กลีบคู่ในซึ่งมีลักษณะเหมือนกันกางออกไปทั้ง 2 ข้างซ้ายขวาของดอก ส่วนกลีบในกลีบที่ 3 จะเปลี่ยนเป็น “กระเปาะ” คล้ายรูปรองเท้า กระเปาะนี้มีหน้าที่รับน้ำฝนตกลงไปเพื่อชะล้างเกสรตัวผู้ไปตัดกับแผ่นเกสร ตัวเมีย กล้วยไม้สกุลนี้จะมีทั้งเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียอยู่ในดอกเดียวกัน แต่จะมีเส้าเกสรแตกต่างจากกล้วยไม้ทั่วๆ ไป คือ ที่ปลายสุดของเส้าเกสร แทนที่จะเป็นอับเรณูกลับเป็นแผ่นบางๆ ซึ่งทางพฤกษาศาสตร์ถือเป็นเกสรที่เปลี่ยนรูปร่างไปใช้การไม่ได้ เรียกส่วนนี้ว่า “สตามิโนด” สำหรับเกสรตัวผู้ที่ใช้การได้มีอยู่ 2 ชุด โดยจะอยู่ถัดต่ำลงมาทั้ง 2 ข้างของเส้าเกสรข้างละ 1 ชุด ในแต่ละชุดจะมีอับเรณูลักษณะเป็นก้อนแข็งอยู่ 2 อัน ถัดต่ำลงมาจากส่วนนี้อีกจะเป็นยอดเกสรตัวเมียซึ่งเป็นแอ่งลึกลงไปยึดติดกับ เส้าเกสร (ปกติส่วนนี้จะถูกหูกระเป๋าโอบหุ้มเอาไว้จนมิด) ภายในมีน้ำเมือกเหนียวสำหรับยืดเกสรตัวผู้ที่ตกลงไปในแอ่ง รังไข่อยู่ตรงส่วนของก้านดอก ภายในรังไข่ยังไม่มีการพัฒนาเป็นไข่อ่อน จนกระทั่งผสมเกสรแล้วจึงเกิดไข่อ่อนในรังไข่ รังไข่จะกลายเป็นฝักเมื่อฝักแก่จะแตกเมล็ดสามารถเจริญงอกงามเป็นต้นใหม่ได้






























ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น